iphone 13

iphone 13 เปิดตัวในไทยเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทำเอาหลายคนอยากรู้ส่ะแล้ว ว่ามีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมบ้าง?

iphone 13 มาพร้อมกับ Smart Beta โหมดในการประหยัดพลังงานมากขึ้น ด้วยความเร็วและแรงมากขึ้นถึง 50%

iphone 13 หลายคนคงเฝ้ารอการกลับมาของ Apple อยู่ใช่ไหมล่ะคะ หลังจากเกิดวิกฤตโควิด19 รู้สึกว่าทุกอย่างจะช้าลงไปหมด จากการที่ไอโฟน ควรจะเปิดตัวที่เร็วกว่านี้ ก็ต้องหยุดชะงักไปตาม ๆ กัน แต่ก็ไม่นานเกินรอค่ะ

และแล้วสิ่งที่พวกเราทั้งหลาย รอคอยก็มาสักที กับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของไอโฟน 13 จะมีรุ่นไหนบ้าง และแต่ล่ะรุ่นแตกต่างกันอย่างไร จะมีสีไหนออกมาใหม่ จะเหมาะสมกับที่เราตั้งตารอหรือไม่?

เปิดตัวด้วยรุ่นยอดฮิตของไอโฟนกับ ไอโฟน 13 mini , ไอโฟน 13 ,ไอโฟน 13 Pro , และไอโฟน 13 Pro Max

ไอโฟน-13 mini มี 5 สีก็คือ product Red star light Midnight สีน้ำเงินแล้วก็สีชมพู กรอบเป็นอลูมิเนียมค่ะ ส่วนสีประจำตำแหน่งไอโฟน 13 Pro และ ไอโฟน-13 Pro Max มี 4 สีก็คือกราไฟท์ Gold silver Blue กรอบเป็น stainless Steel

กระจกด้านหน้าแบบเซรามิก เช่นเดิมทุกรุ่นที่เคยเป็นมา จะเป็นหน้าจอแบบ Super retina xdr ก็คือหน้าจอ oled นะคะ ถึงจะแตกต่างไม่มากแต่ก็ถือว่าแตกต่าง!!

มาเริ่มกันที่ ไอโฟน 13 mini

ไอโฟน 13 mini

iPhone13 mini ยังคงใช้ดีไซน์ให้เหมือนกับ ไอโฟน 12 แต่ใช้หน้าจอแบบ Super Retina XDR หน้าจอขนาด 5.4 นิ้ว มาพร้อม Ceramic Shield ด้านหน้าที่ทนทานไร้ที่ติเหมือนเดิม กล้องแบบ TrueDepth ปรับปรุงใหม่ทำให้มีขนาดที่เล็กลง

ช่วยให้มีพื้นที่แสดงผลหน้าจอมากขึ้น ด้านกล้องหลังนั้น ปรับปรุงระบบกล้องครั้งใหญ่ โดยกล้อง Wide มีพิกเซลขนาด 1.7 µm พร้อมเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ รับแสงเพิ่มได้มากถึง 47% ช่วยให้ภาพสว่างขึ้น
ไฮไลท์ไอโฟน-13 mini จะอยู่ที่กล้อง เช่น
-กล้องหลังจัดวางแบบใหม่ แบบแนวทะแยง
-กล้อง Ultra-Wide ปรับปรุ่งใหม่ เซ็นเซอร์ใหม่ เก็บภาพที่แสงน้อยดีขึ้น

ราคาเปิดตัวอยู่ที่

128GB ราคา 25,900 บาท
256GB ราคา 29,900 บาท
512GB ราคา 37,900 บาท

ไอโฟน 13 ไอโฟน 13 Pro ขนาด 6.1 นิ้ว หน้าสัมผัสและลักษณะหน้าจอ เป็นแบบเดียวกับที่ใช้ใน iPadPro เป็นหน้าจอที่ดีที่สุด เท่าที่แอปเปิ้ลจะทำออกมาได้ ล้ำที่สุดแล้วค่ะ ใครที่เคยใช้ IOS ต่างยกนิ้วให้ว่าลื่นไหล ไม่มีสะดุด

และหน้าจอแบบนั้นคือหน้าจอแบบ resistive สูง 120 hz ทำให้กราฟฟิกไหลลื่นเล่นเกมสนุกขึ้น มาดูเรื่องสำคัญเรื่องชิปไอโฟน 13 นี้เป็น a15 ไบโอนิคเทคโนโลยี 5 nm เหมือนกับ a14 แต่ก็เร็วขึ้นเพราะอัดด้วยทรานซิสเตอร์ราว 15 พันล้านตัว

เมื่อเทียบกับ a14 ที่ 11.8 พันล้านตัวก็มากกว่าพอสมควรเลยล่ะค่ะ มีซีพียูแบบ 6 Coreเป็นแบบ 2 กับ ce fcc แล้วก็มี Engine 86 Coreสำหรับประมวลผลด้าน Machine Learning แต่ว่า a15 มีแค่ใน iPhone 13 นะคะ

ไอโฟน 13 ไอโฟน 13 Pro

ราคาเปิดตัวอยู่ที่
128GB ราคา 29,900 บาท
256GB ราคา 33,900 บาท
512GB ราคา 41,900 บาท

ไอโฟน 13 Pro Max 

iPhone 13 Pro Max ดูน่าสนใจที่สุด สำหรับการอัพเกรดกล้อง ที่เพิ่มความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสงขนาด f 1.6 กล้องอัลตร้าไวด์ รูรับแสงขนาด 2.4 ที่เพิ่มเติมมา ก็คือในกล้องวาย ซึ่งเป็นกล้องหลักนี้จะได้เซนเซอร์ ขนาดที่ใหญ่ขึ้น

รับแสงได้มากขึ้น 40 เปอร์เซ็นต์ แล้วก็มีเซ็นเซอร์ชิป Optical image stabilization ก็คือการสั่งแบบขยับ ที่ตัวเซ็นเซอร์เลยค่ะ ทำก็จะชัดขึ้นถ่าย ในที่แสงน้อยได้ดี ขึ้นถ่ายวีดีโอได้ยิ่งขึ้นซึ่ง iPhone 12 เนี่ยจะมีเฉพาะในรุ่น 12 Pro Max เท่านั้นนะคะ

แต่ในรุ่นนี้ได้ใช้ทุกคนจนกล้อง iPhone 13 Pro และ promax จะมี 3 ตัวนะคะ แล้วก็มีเลนส์ที่สว่างกว่าดีกว่านิดนึง ด้วยประกอบไปด้วยกล้อง WiFi ใหม่ที่มีรูรับแสงขนาด f 1.5 กล้องอัลตร้าไวด์รูรับแสงขนาด f 1.8 กล้องเทเลโฟโต้ รูรับแสงขนาด f 2.8

ไอโฟน 13 Pro Max 

ราคาเปิดตัวอยู่ที่

128GB ราคา 42,900 บาท
256GB ราคา 46,900 บาท
512GB ราคา 54,900 บาท
1TB ราคา 62,900 บาท

ข้อเปรียบเทียบ : การปลดล็อคด้วย Face ID ถึงแม้ว่าจะสะดวกแล้วก็ปลอดภัย แต่เมื่อเราต้องมาใส่หน้ากาก ในยุคโควิด19 แบบนี้กันตลอดเวลา และเวลาที่อยู่นอกบ้าน ก็ชักจะกลายเป็นเรื่องที่ไม่สะดวก แล้วก็เป็นอุปสรรคใช่ไหมคะ เพราะบางพื้นที่ เราไม่สามารถลดหน้ากากอนามัยลงได้ แต่ก็ต้องเสี่ยงเพื่อที่อยากจะปลดล็อคหน้าจอให้ได้

และบางทีก็ไม่พ้นเรื่องที่จะต้องมานั่งใส่รหัสผ่าน เนื่องจาก Face ID ไม่ทำงาน จุด ๆ นี้ หลายคนก็เลยคาดหวัง อยากให้การเปิดตัวของไอโฟน13ในรอบนี้ น่าจะเพิ่มการปลดล็อค แบบสแกนลายนิ้วมือ เข้ามาด้วย แล้วจะกลายเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ